ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 23 ตุลาคม 2566
ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 23 ตุลาคม 2566
การเมือง/มั่นคง
ยืนยันเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ได้ทันเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ต้องหารืออย่างละเอียดรอบด้าน
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีเลื่อนประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ว่ายืนยันเป้าหมายการรับงานยังคงอยู่ที่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 แต่หากการประชุมคณะอนุกรรมการในสัปดาห์นี้ยังไม่ชัดเจน อาจต้องมีการรายงาน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อขอปรับกรอบเวลาของโครงการ เนื่องด้วยมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องหารืออย่างรอบด้านและอยากให้มั่นใจว่าเมื่อเปิดใช้บริการจะต้องมีความปลอดภัย เพราะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด รวมถึงการปฎิบัติตามกฏหมายที่ไม่สามารถละเลยได้ สำหรับแอปพลิเคชันและแหล่งเงินทุนก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าปัจจุบันยังไม่มีการพูดคุยเรื่องเงินกู้จากธนาคารออมสิน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติม ถึงกรณีพรรคก้าวไกลกล่าวว่าต้นฉบับของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต มาจากประเทศญี่ปุ่นนั้น เป็นเพียงการดำเนินการในลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยได้ติดต่อไปขอข้อมูลจากนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล เพื่อนำมาศึกษาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียซึ่งเชื่อว่าทุกฝ่ายเข้าใจว่าเป็นบริบทที่แตกต่างกัน
เดินหน้าเปลี่ยนโครงการจัดหาเรือดำน้ำเป็นเรือฟริเก็ต ยันการเพิ่มเงินกว่า 1,000 ล้านบาท กองทัพไม่ได้เสียเปรียบ
นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงกรณีที่กองทัพเรือเปลี่ยนรายการในโครงการจัดหาเรือดำน้ำเป็นการจัดหาเรือฟริเก็ตของจีน ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าเรือดำน้ำประมาณ 1,000 ล้านบาท ที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมว่า ทางกองทัพฯ ทุกเหล่าทัพ ได้มีความเข้าใจเป็นอย่างดี สืบเนื่องจากได้หารือและได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบในทุกมิติแล้ว มิใช่การใช้อำนาจรัฐตัดสินใจโดยพลการ ซึ่งรวมถึงในแง่ของกฎหมาย มองว่าหากทางกองทัพถอยโครงการดังกล่าวลงอาจถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ หรือตั้งคำถามมากกว่านี้ เบื้องต้นมองว่ามูลค่ารายจ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นนั้นกองทัพไม่ได้เสียเปรียบ เป็นราคามาตรฐานที่รับรู้กันทั่วโลก
ส่วนการเจรจากับทางการจีนนั้น ในส่วนของรายละเอียดให้เป็นไปตามกลไกของกระทรวงกลาโหมก่อน ส่วนการเจรจาก่อนหน้านั้นเป็นไปตามกลไกของรัฐบาล ซึ่งแม้หากถูกวิพากษ์วิจารณ์ยืนยันว่ากระทรวงกลาโหมสามารถอธิบายได้
เศรษฐกิจ/ท่องเที่ยว
ภาคเอกชน ให้มุมมองการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของนายกรัฐมนตรีประสบความสำเร็จ
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการเดินทางเยือนและเข้าร่วมการประชุมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (BRF) ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าเป็นเรื่องดี ถือเป็นการเปิดตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดใหม่ โอกาสนี้ ยังได้พบปะกับบริษัทรายใหญ่ของจีนอีกหลายบริษัท หากเชิญชวนมาร่วมลงทุนได้สำเร็จจะเป็นประโยชน์กับไทย โดยเฉพาะ 5 เรื่องสำคัญที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ การเชื่อมโยงและสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นใหม่ๆ อุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมายที่จีนสนใจเข้ามาลงทุน เช่น รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด ให้ความสะดวกกับจีนที่จะมาทำการค้าการลงทุนในไทย พร้อมเน้นย้ำการยกเว้นวีซ่าให้คนจีนมาท่องเที่ยวในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 -เดือนกุมภาพันธ์ 2567 อาจมีการพิจารณาขยายระยะเวลาต่อ และไทยยังให้ความสนใจร่วมลงทุนกับจีนอย่างต่อเนื่อง เป็นการตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนที่แนบแน่นในทุกมิติ เป็นจุดเปลี่ยนทำให้ไทยบรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาคได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้นายกรัฐมนตรี ยังมีกำหนดการเยือนและเข้าร่วมการประชุมอีกหลายประเทศ มองว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการจ้างงาน รวมไปถึงมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาทำให้ผลิตสินค้าไปขายในต่างประเทศมากขึ้น ส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย
ประธานกรรมการหอการค้าไทย ยังกล่าวถึงปัญหาความรุนแรงในตะวันออกกลาง หรือของประเทศมหาอำนาจ เช่น จีน มีปัญหาหลายด้าน เชื่อว่าจะไม่เป็นอุปสรรคและไม่ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจยังเติบโตกว่าร้อยละ 4 ขณะเดียวกัน รัฐบาล ยังได้ออกมาตรการมาช่วยเหลือ พร้อมเสนอการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ จะทำให้การขนถ่ายสินค้าและขนส่งกระจายไปทั่วโลก
กระทรวงพาณิชย์ ผลักดันสินค้าเกษตรไทยส่งออกไปตลาดญี่ปุ่น พัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้หารือกับนายคุโรดะ จุน (KURADA Jun) ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น ประจำกรุงเทพฯ หรือ JETRO กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยได้เสนอให้ JETRO กรุงเทพฯ สนับสนุนข้อมูลและความร่วมมือในการผลักดันศักยภาพของ SMEs และผู้ประกอบการไทย เพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ให้เกิดความยั่งยืนระหว่างกัน พร้อมทั้งส่งเสริมและผลักดันการนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยไปตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยหอมทอง โดยจัดหาบริษัทสตาร์ตอัปของญี่ปุ่นที่มีเทคโนโลยีช่วยจัดเก็บข้อมูลและปรับปรุงการปลูกกล้วยหอมอย่างเป็นระบบและแม่นยำมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปริมาณผลผลิต รวมทั้งสร้างโอกาสในการส่งออกกล้วยหอมไทยไปตลาดญี่ปุ่น
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ กับ JETRO กรุงเทพฯ จะร่วมกันจัดสัมมนาให้ความรู้กับผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในการขยายการส่งออกไปญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันมี FTA ร่วมกัน 3 ฉบับ ได้แก่ ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) โดยในช่วงครึ่งปี (ม.ค.-มิ.ย.66) ผู้ส่งออกไทยขอใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA ทั้ง 3 ฉบับ รวมกันถึง 77% ของมูลค่าการส่งออกสำหรับสินค้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งหมด หรือมูลค่า 3,602 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ด้านประธาน JETRO กรุงเทพฯ ให้ข้อมูลว่า ญี่ปุ่นสนับสนุนให้ไทยมีบทบาทนำในภูมิภาคอาเซียนและญี่ปุ่นยังมีความสนใจที่จะลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ทั้งที่เป็นเอกชนรายใหญ่และเอกชนขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงสตาร์ทอัพของญี่ปุ่นที่จะเข้ามามีบทบาทช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทยอีกด้วย นอกจากนี้ ญี่ปุ่นพร้อมพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้ากับไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อาทิ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติในไทย การจัดสัมมนาให้ความรู้เรื่องการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงและการจัดอบรมด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้กับบุคลากรทรัพย์สินทางปัญญาของไทย
ขบวนรถพิเศษนำเที่ยวรถจักรไอน้ำ วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม เส้นทางประวัติศาสตร์ กรุงเทพ -พระนครศรีอยุธยา
การรถไฟแห่งประเทศไทย จัดเดินขบวนรถพิเศษนำเที่ยวรถจักรไอน้ำ เส้นทาง กรุงเทพ – อยุธยา เนื่องในวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม 2566 เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานกิจการรถไฟ เพื่อประโยชน์สุขแก่ปวงชนชาวไทย โดยมีนายอวิรุทธ์ ทองเนตร รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนรถพิเศษนำเที่ยวรถจักรไอน้ำ เส้นทางกรุงเทพ – อยุธยา – กรุงเทพ พร้อมด้วยผู้บริหาร พนักงานการรถไฟฯ นักท่องเที่ยว เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้
การรถไฟฯ นำหัวรถจักรไอน้ำแปซิฟิก หมายเลข 824 และ 850 รุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลิตโดยบริษัท นิปปอน ชาร์เรียว จำกัด ซึ่งปัจจุบันได้เก็บรักษาและซ่อมบำรุงอยู่ที่โรงรถจักรธนบุรี นำมาจัดเดินขบวนรถนำเที่ยวพิเศษใน 6 โอกาสพิเศษและวันสำคัญของทุกปี ซึ่งการรถไฟฯจะจัดกิจกรรมนั่งรถจักรไอน้ำท่องเที่ยวทริปถัดไปได้ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2566 เส้นทางกรุงเทพ – ฉะเชิงเทรา โดยมีอัตราค่าโดยสารไป-กลับ (รถนั่งชั้น 3) 329 บาท และตู้โดยสารปรับอากาศ(รถโอทอป) ราคา 799 บาท/คน พร้อมบริการอาหารว่างและเครื่องดื่มบนรถไฟทั้งเที่ยวไป-กลับ
เกษตรกรรม/สิ่งแวดล้อม
นายกรัฐมนตรี เร่งหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หาแนวทางตรึงราคาเนื้อหมู
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ได้เชิญร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมปศุสัตว์ กรมศุลกากร และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เข้ามาหารือในประเด็นเนื้อสุกรเถื่อน ที่มีการจับกุม ตรวจยึดไว้ในปัจจุบันหลายร้อยตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่อยู่ระหว่างรอ DSI ขยายผล ซึ่งการปราบปรามเนื้อสุกรเถื่อนเหล่านี้ อาจส่งผลกระทบให้ราคาเนื้อหมูในตลาดในอนาคตเพิ่มสูงขึ้น จึงมีการเชิญธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และกรมปศุสัตว์ เข้ามาเพื่อช่วยให้เงินทุนแก่เกษตรกรและผู้ค้ารายย่อยให้ได้มีโอกาสในการเลี้ยงหมูเพิ่มมากขึ้นเพื่อจำหน่ายหมูเข้าสู่ตลาด ควบคุมไม่ให้ราคาสูงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหา เพื่อช่วยเหลือผู้ค้ารายกลางและรายย่อยอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
“ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” จังหวัดชัยนาทต้นแบบ ก่อนขยายผลไปทั่วประเทศ
นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มุ่งมั่นสร้างรายได้ให้เกษตรกร ผ่านหลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” เน้นส่งเสริมการทำอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ นอกจากการเพาะปลูกพืช อีกภารกิจเร่งด่วนคือ การบริหารจัดการน้ำตามความต้องการน้ำในแต่ละพื้นที่ การบริหารจัดการทรัพยากรดิน บริหารจัดการแปลงเกษตรและการวิจัยพัฒนาพันธุ์เพื่อเพิ่มผลผลิต นำนวัตกรรมเกษตรแม่นยำมาใช้ เพิ่มมูลค่าผลตอบแทนต่อไร่ให้สูงขึ้น ขับเคลื่อนสร้าง “ชัยนาทโมเดล” ให้จังหวัดชัยนาท เป็นต้นแบบเพื่อขยายผลไปทั่วประเทศ
โดยมีแนวทางการส่งเสริมนวัตกรรมข้าวพันธุ์ดี เมล็ดข้าวพันธุ์ดี ลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพการผลิต ส่งเสริมการปลูกพืชแห่งโอกาส บริหารจัดการทรัพยากรดินให้เหมาะสมกับพืช ระบบตลาดนำการผลิต ขยายสาขาวิทยาลัยเทคนิคชัยนาทและเพิ่มศักยภาพวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชัยนาท ตั้งเป้าหมายเบื้องต้น พัฒนาพื้นที่ส่งเสริมให้เกษตรกรจำนวนมากกว่า 100 ครอบครัว ได้มีอาชีพเลี้ยงโคพื้นเมือง โดยให้องค์ความรู้สนับสนุนแหล่งเงินทุน ใช้ปัจจัยการผลิตท้องถิ่น ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตรและหาช่องทางการตลาดให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น มากกว่าการผลิตพืชเพียงอย่างเดียว ลดความเสี่ยงด้านการผลิตและการตลาด อีกทั้งยังทำการผลิตในรูปแบบ BCG Model เพื่อรักษาระบบนิเวศเกษตร
สังคม
นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ร่วมวางพวงมาลาพระบรมราชานุสรณ์ รัชกาลที่ 5 เนื่องในวันปิยมหาราช
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วางพวงมาลาเนื่องในวันปิยมหาราช หรือวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยมีคณะรัฐมนตรีเข้าร่วมในพิธีอย่างพร้อมเพรียง ณ พระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระลานพระราชวังดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ ยังมีผู้บัญชาการเหล่าทัพ แม่บ้านเหล่าทัพ คณะบุคคล หน่วยราชการในพระองค์ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน ตัวแทนพรรคการเมือง นักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ลานพระราชวังดุสิตวันนี้ (23 ต.ค.66) ได้เปิดให้หน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน รัฐวิสาหกิจและประชาชน สามารถนำพวงมาลามาถวายราชสักการะได้ ตั้งแต่เวลา 06.00 o.-12.00 น. โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยรับและอำนวยความสะดวกให้กับหน่วยงานและประชาชนที่นำพวงมาลามาวาง อีกทั้งยังเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะได้ถึงเวลา 24.00 น.
รัฐบาลไทยสั่งการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญในการพาแรงงานไทยในอิสราเอลให้กลับสู่ประเทศไทยอย่างปลอดภัยมาเป็นอันดับแรก
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประชุมศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน (RRC) เกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ตะวันออกกลาง ณ กระทรวงการต่างประเทศ โดยเปิดเผยว่า ได้เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนให้การดูแลรักษาด้านความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เรื่องอื่นให้เป็นเรื่องรองทั้งหมด เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ตะวันออกกลางยังคงมีความน่าเป็นห่วงและอาจมีความเสี่ยงที่จะรุนแรงขึ้นและขยายพื้นที่ไปสู่ประเทศข้างเคียงบางประเทศด้วย
ทางรัฐบาลไทยจึงอยากขอความร่วมมือแรงงานไทยที่ยังอยู่ในอิสราเอล ให้เร่งกลับสู่ภูมิลำเนาโดยเร็วและขอความร่วมมือจากญาติของแรงงานไทยในอิสราเอลที่อยู่ในประเทศไทยให้ช่วยโน้มน้าวให้แรงงานกลุ่มนี้กลับเข้ามาในประเทศไทยโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ยังสามารถกลับได้ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง หากมีการปฏิบัติการภาคพื้นดินของทางฝั่งอิสราเอลแล้วนั้น จะทำให้การเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนามีความยากลำบากมากขึ้น
โดยในปัจจุบันมีผู้แจ้งความประสงค์กลับไทยผ่านสถานทูตฯ แล้วกว่า 8,500 คน และได้เดินทางกลับถึงไทยแล้วกว่า 3,000 คน ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากประเทศต่างๆ ส่งผลให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการนำคนไทยกลับสู่ภูมิลำเนาได้วันละมากกว่า 800 คน แต่มีคนไทยบางส่วนที่เปลี่ยนใจไม่กลับ ตามที่ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไว้ เหตุเนื่องจากนายจ้างฝั่งอิสราเอล ขยายระยะเวลาจ่ายเงินเป็นวันที่ 10 พฤศจิกายน โดยจะมีการเพิ่มค่าจ้างขึ้นด้วย เพื่อจูงใจให้แรงงานไทยในอิสราเอลอยู่ต่อ ทางรัฐบาลไทยจึงอยากให้แรงงานกลุ่มนี้พิจารณาให้ดี ว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะอยู่ต่อหรือไม่ อยากให้คำนึงถึงความปลอดภัยของชีวิตสำคัญที่สุด
แรงงานไทยจากอิสราเอล 280 คน เดินทางกลับถึงไทยแล้ว ท่ามกลางการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่ในการช่วยเหลือเยียวยา
เมื่อเวลา 20.40 ณ ท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ มีแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศอิสราเอลถึงประเทศไทย จำนวน 280 คน ด้วยสายการบินไทย เที่ยวบิน TG 8953 โดยแรงงานไทยกลุ่มนี้ถือเป็นแรงงานชุดที่ 16 ที่แจ้งความประสงค์ไว้กับสถานทูต โดยมีครอบครัวและญาติของแรงงานมารอรับอย่างอบอุ่น รวมถึงมีหน่วยราชการต่างๆ มาร่วมอำนวยความสะดวกและแนะนำสิทธิในการช่วยเหลือเยียวยา อาทิ เจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสุขภาพจิต คอยตรวจคัดกรองสภาพร่างกายและสภาพจิตใจ เจ้าหน้าที่จากกระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานให้คำแนะนำการขอรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ ด้านกระทรวงยุติธรรม ได้ดูแลแรงงานในการไกล่เกลี่ยระงับหนี้สินจากเจ้าหนี้หรือสถาบันการเงินต่างๆ ขณะที่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดเจ้าหน้าที่ดูแลกรณีแรงงานไม่มีเงินค่าเดินทางกลับภูมิลำเนา นอกจากนี้ได้จัดเตรียมรถบัสรอรับแรงงานที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา เพื่อไปส่งที่สถานีขนส่งและส่งตามสนามบินดอนเมือง ส่วนแรงงานที่ประสงค์จะเดินทางกลับเองนั้น ก็สามารถเดินทางกลับได้ ทั้งนี้มีแรงงานไทยทางกลับถึงแล้วกว่า 3,000 คน
สำหรับเวลา 22.50 น. กระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่า จะมีแรงงานเดินทางกลับไทยด้วยจากกรุงเทลอาวีฟ เที่ยวบิน LY085 โดยมีจำนวนผู้ลงทะเบียน 235 คน
ตลอดทั้งวันประชาชนทยอยเข้าถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช อย่างเนืองแน่น
บรรยากาศบริเวณ ณ ปราสาทพระเทพบิดร พระบรมมหาราชวัง พบประชาชนเข้าแถวรอเพื่อเข้ากราบถวายบังคมพระบรมรูป สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช เนื่องในวันปิยมหาราช ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อย่างเนืองแน่นตลอดทั้งวัน โดยที่สำนักพระราชวังได้มีมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในการขอความร่วมมือให้สวมหน้ากากอนามัยและผ่านจุดคัดกรองบริเวณประตูวิเศษไชยศรี สำหรับในช่วงบ่าย ตั้งแต่เวลา 14.00 น.-17.00 น. ประชาชนจะเข้าและออกทางประตูสวัสดิโสภา โดยมีการเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบโดยเว้นระยะห่าง ในการเข้าออกอย่างเป็นระเบียบ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและจิตอาสาคอยอำนวยความสะดวก ตลอดจนผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า มีความปลื้มปิติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
นางพัชรากร ทมานนท์ เดินทางมาจากจังหวัดภูเก็ต พร้อมครอบครัว กล่าวว่า ตั้งใจมาลงนามถวายพระพร รู้สึกประทับใจ ปลื้มปิติเป็นอย่างมาก เนื่องจากได้เข้ากราบสักการะครั้งแรกในชีวิตและมาด้วยความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และได้ขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัวด้วย
เช่นเดียวกับนางพรทิพย์ ระบาเลิศ ชาวจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า ทราบข่าววันนี้เปิดให้ประชาชนเข้าถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชที่ปราสาทพระเทพบิดร ตั้งใจมาจากบ้านแต่เช้า เพื่อเข้ากราบเพราะเป็นวันสำคัญ อยากมาร่วมแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณกษัตริย์ทุกรัชกาลนอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเลี้ยงอาหารว่างและเครื่องดื่มแก่ประชาชนที่เข้ามากราบถวายบังคมพระบรมรูป สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชในปราสาทพระเทพบิดร
ข้อมูลข่าวและที่มา
ผู้สื่อข่าว : ธนพิชฌน์ แก้วกา
ผู้เรียบเรียง : ธนพิชฌน์ แก้วกา
แหล่งที่มา : หน่วยงานสำนักข่าว